ป้ายกำกับ: ข่าวกีฬา
- 0
เรียกได้ว่าช๊อปแหลก เหมือนอัดอั้นในการใช้เงินกับการซื้อตัวนักเตะ หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้วโดนโทษแบนห้ามซื้อขายนักเตะเป็นระยะเวลาหนึ่งปี พอมาปีนี้สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอนกว้านซื้อนักเตะเสริมทัพเป็นว่าเล่นและใช้เงินของเสี่ยหมี เจ้าของสโมสรไปแล้วกว่าสองร้อยล้านปอนด์ ไล่มาตั้งแต่ ฮาคิม ซิเย็ก ปีกจากสโมสรอาแจ๊กซ์ , ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าจากไลป์ซิก, เบน ชิลเวลล์ แบ๊กซ้าย จากเลสเตอร์ และคนล่าสุด ฮาแวร์ตช์ จากสโมสรเลเวอร์คูเซ่น
และทุบสถิติของสโมสรด้วยการซื้อนักเตะที่แพงที่สุดด้วยจำนวนเงินถึงเจ็ดสิบเอ็ดล้านปอนด์ ซึ่งว่ากันว่าตอนนี้สโมสรแห่งนี้กำลังบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก โดยการกระทำเช่นนี้เชื่อว่าคงจะถูกใจแฟนบอลที่รักสโมสรเชลซีอย่างมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ผู้สื่อข่าวหลายสำนักของอังกฤษต่างเริ่มมีความเป็นกังวลว่า แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง
กำลังจะขุดหลุมให้ตัวเอง จริงอยู่ว่าฤดูกาลที่แล้ว ผู้จัดการทีมคนนี้พาทีมโชว์ฟอร์มสุดยอดและจบด้วยอันดับสี่สามารถไปเล่นแชมป์เปี้ยนลีกได้ อีกทั้งยังได้รองแชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งถือว่ากับประสบการณ์ในการคุมทีมเพียงแค่หนึ่งปี และไม่ได้ซื้อนักเตะใดๆเลย โดยใช้แต่นักเตะที่มีอยู่เดิมนั้น จุดนี้ต้องยอมรับในฝีมือของผู้จัดการทีมคนนี้ แต่ในเวลานี้ สิ่งที่ แลมพาร์ด กำลังทำอยู่
มันกำลังเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับตัวเอง เพราะคงไม่มีเจ้าของสโมสรคนใดหรอกที่ยอมทุ่มเงินให้ซื้อนักเตะมากกว่าสองร้อยล้านปอนด์แล้วไม่หวังความสำเร็จกลับมาให้กับสโมสร ดังนั้นมันเปรียบเสมือนว่า ฤดูกาลนี้อาจจะเป็นการตัดสินอนาคตของแลมพารด์เลยก็ว่าได้ เพราะหากเค้าไม่สามารถคว้าแชมป์ได้นั่นเรียกว่าเค้าสอบตกในการคุมทีมเชลซี
หรือแม้แต่อย่าว่าแต่การคว้าแชมป์เลย ยิ่งถ้าเค้าพาทีมไปแชมป์เปี้ยนลีกไม่ได้เหมือนเดิมนั้น นั่นคือเราอาจจะต้องเห็นแลมพาร์ด หางานใหม่อย่างแน่นอนทั้งๆที่คุมทีมเพียงได้แค่สองฤดูกาล อันที่จริงแล้วนั้นก็น่าแปลกที่ทาง แลมพาร์ด โหมกระหน่ำซื้อนักเตะอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ เพราะหากจะว่าไปแล้วขุมกำลังที่มีอยู่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อยเพื่อความสมดุลของทีม แต่นี่กลับเล่นซื้อแบบว่าชอบใครไม่สนใจว่าจะแพงหรือว่าเหมาะกับทีมใหม่ แต่เอาเป็นว่าซื้อหมด ดังนั้นสิ่งที่เค้าเลือกที่จะทำแบบนี้เพื่อวัดใจกับเสี่ยหมี คงต้องมาดูแล้วว่า แลมพาร์ด คิดถูกหรือคิด
- 0
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้มีการเริ่มเล่นกีฬาประเภทหนึ่งซึ่งเราเรียกว่าฟุตบอลซึ่งในสมัยอดีตนั้นกีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาของต่างประเทศแต่เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ได้ทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าหลานเธอรวมถึงข้าราชบริพารคนอื่นๆ
เพื่อไปศึกษางานต่างๆที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศอังกฤษทำให้ทั้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าหลานเธอได้นำกีฬาประเภทฟุตบอลเข้ามาเผยแพร่ไห้กับคนไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสำหรับคนที่นำกีฬาฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยเป็นคนแรกนั้นชื่อว่า เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
ซึ่งในสมัยนั้นประชาชนชาวไทยนิยมเรียกพระองค์ว่าครูเทพซึ่งพระองค์เป็นคนที่แต่งเพลงกราวกีฬาซึ่งเป็นเพลงที่ปลุกใจให้ทุกคนสนใจหันมาเล่นกีฬาและเพลงกราวกีฬานี้ก็เป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันซึ่งยังคงอยู่กับคนไทยเรียกได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงอมตะที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน
ครั้งแรกที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีทรงนำกีฬาฟุตบอลมาเผยแพร่ให้กับคนไทยได้รู้จักนั้นหลายคนมองว่ากีฬานี้ไม่เหมาะกับคนไทยเพราะกีฬานี้ต้องเล่นกลางแดดซึ่งอากาศของเมืองไทยนั้นค่อนข้างร้อนมากโดยหลายคนมีความเชื่อว่าหากเล่นกีฬาฟุตบอลนี้กลางแจ้งจะทำให้เหนื่อยและเหงื่อออกง่ายซึ่งไม่เหมาะกับประเทศไทยอย่างยิ่ง
โดยมองว่ากีฬาฟุตบอลเหมาะกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่าอีกทั้งกีฬาฟุตบอลยังเป็นกีฬาที่ต้องมีการแย่งลูกฟุตบอลลูกเดียวกันโดยมี 2 ทีมคอยแย่งฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องมีการแข่งขันกันและทำให้ผู้เล่นเกิดอันตรายได้ง่ายในช่วงแรกๆหลายคนค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการนำกีฬาฟุตบอลมาเล่นในเมืองไทยแต่พอนานวันไปเข้าความคิดเห็นเรื่องความอันตรายของกีฬาฟุตบอลก็เริ่มจางหายไปและกลายมาเป็นกีฬาที่คนไทยนิยมเล่นเป็นอย่างมาก
ซึ่งกีฬาฟุตบอลนี้ไม่ใช่ประเทศไทยเท่านั้นที่นิยมเล่นต่างประเทศทั่วโลกก็พากันนิยมเล่นกีฬาฟุตบอลนี้เช่นเดียวกัน สำหรับประวัติการแข่งขันฟุตบอลในประเทศไทยครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2443 ซึ่งในขณะนั้นมีการจัดการแข่งขันกันที่สนามหลวงโดยคู่ฟุตบอลคู่แรกที่มีการแข่งขันกันก็คือทีมชุด Bangkok กับ กับทีม กับทีมชุด
และในการแข่งขันครั้งแรกนั้นขึ้นเมื่อวันที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่าทั้งคู่ได้คะแนนเสมอกันนั่นก็คือสองต่อสอง โดยการแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกนั้นมีชื่อการจัดงานในครั้งนั้นว่าการแข่งขันฟุตบอลตามข้อบังคับของAssociations
แต่ถ้าหากเรียกในสมัยปัจจุบันนี้เรียกว่าการแข่งขันฟุตบอลของสมาคมซึ่งหลังจากที่ประชาชนได้ร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลในนัดแรกไปแล้วต่างก็เริ่มให้ความสนใจและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประเทศไทยก็มีทีมสโมสรฟุตบอลที่จัดการแข่งขันฟุตบอลกันต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
- 0
นักฟุตบอลยืนยันยังอยากแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ติดต่อรัฐบาลอังกฤษของเตะในสนามปิด
ยังเป็นโรคที่คาราคาซังกันอยู่ซึ่งตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโคโรนาเกิดขึ้นในแถบประเทศอังกฤษก็ทำให้การแข่งขันฟุตบอลมีการปิดตัวลงระบบบอลไม่ได้มีการอันเนื่องจากเกรงว่าจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่ากันเพราะหากมีการแข่งขันเกิดขึ้นเชื่อว่าผู้ชมแฟนบอลก็จะเดินทางไปชมฟุตบอลและเชียร์นักเตะที่ตัวเองชื่นชอบดังนั้นทางรัฐบาลอังกฤษจึงได้เห็นสมควรว่าการแข่งขันฟุตบอลควรจะมีการเลื่อนออกไปก่อนซึ่งบางสโมสรและบางลีกนั้นก็ได้มีการยกเลิกการแข่งขันไปเลย
แต่ที่เป็นปัญหาหลักอยู่ในขณะนี้นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสคนละหน้าว่าจะตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันหรือจะเลื่อนการแข่งขันออกไปก่อนจะประกาศผลแพ้ชนะไปเลยประกาศผู้ได้รับถ้วยไปเลยประจำปีนี้ก็ยังเป็นที่พอเพียงกันอยู่เพราะมีหลายกระแสเหลือเกินบางคนก็ต้องการที่จะให้รับถ้วยรางวัลไปเลยและบางคนก็ทำการอยากให้เลื่อนการแข่งขันไปก่อนซึ่งเด็กที่เรากำลังพูดถึงที่กำลังมีปัญหามากกว่านี้ก็คือพรีเมียร์ลีกอังกฤษโดยตามข้อมูลแล้วเหลือการแข่งขันอีกไม่กี่สนามเท่านั้น
ก็จะทราบผลว่าใครจะได้ถ้วยแชมป์ในปีนี้ไปครองซึ่งคะแนนที่นำโด่งอยู่ในขณะนี้ก็คือทีมลิเวอร์พูลดังนั้นแฟนบอลที่เชียร์ทีมลิเวอร์พูลอยู่จึงต้องการที่จะให้มีการประกาศผลรับรางวัลไปเลยแต่ก็ยังมีอีกหลายทีมที่ยังอยากจะให้มีการแข่งขันออกไปอีกรวมถึงนักฟุตบอลของแต่ละทีมก็ยังอยากที่จะมีการเตะสนามที่เหลืออีก
ซึ่งในขณะนี้ทางจากที่มีการพูดคุยกันอยู่นานทางพรีเมียร์ลีกได้มีการติดต่อไปยังรัฐบาลของอังกฤษเพื่อที่จะขอให้มีการแข่งขันต่อไปโดยอยากจะเริ่มการแข่งขันให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายนแต่ทางทีมพรีเมียร์ลีกเองก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นยังไม่ทุเลาลงและจำนวนผู้ติดเชื้อก็ยังมีมากขึ้นอยู่ได้เรื่อยๆจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาก็ยังคงมีอยู่ในทุกๆวันดังนั้นสิ่งที่ทางพรีเมียร์ลีกอังกฤษได้มีการยื่นเรื่องกับทางรัฐบาลก็คืออยากจะมีการแข่งขันแบบสนามปิดโดยให้นักฟุตบอลมีการแข่งขันกันเองและเป็นการถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้ดูผ่านทางทีวีเท่านั้น
โดยไม่ให้ประชาชนเดินทางมาดูที่สนามเป็นอันขาดเพื่อความปลอดภัยของนักฟุตบอลและประชาชนแฟนบอลนั่นเองหลายคนมองว่าหากมีการเลื่อนการแข่งขันออกไปโดยไม่มีกำหนดจะไม่เกิดผลดีกับทุกฝ่ายดังนั้นจึงอยากจัดการแข่งขันฟุตบอลให้เสร็จสิ้นไปซึ่งทางออกด้วยการให้นักฟุตบอลเตะไปในสนามแล้วใช้การถ่ายทอดสดนั้นถือว่าค่อนข้างเป็นไปได้สูงมากที่จะสามารถจัดการแข่งขันแบบนี้ได้อย่างไรก็ดีอาจจะต้องรอผลการอนุมัติจากทางรัฐบาลอังกฤษตัวอีกทีจะสามารถเป็นไปได้หรือไม่
- 0
รายชื่อฟุตบอลทีมชาติไทยที่ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศค่าตัวแพงที่สุดใน 5 อันดับแรก
ขนาดนี้แต่ละทีมฟุตบอลกำลังมีการประเมินค่าตัวของนักฟุตบอลของทีมตนเองว่ามีราคาค่าตัวเท่าไหร่เพราะในช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่แต่ละทีมกำลังมีการประเมินว่าจะมีการขายนักฟุตบอลคนไหนออกจากทีมรวมถึงกำลังมีการคำนวณว่าจะมีการซื้อนักฟุตบอลคนไหนเข้าทีมซึ่งตอนนี้ได้มีการประเมินราคาค่าตัวของนักฟุตบอลแต่ละทีมออกมาและมีการนำมาเผยแพร่ให้กับสื่อทราบเป็นจำนวนมากจากเว็บไซต์ชื่อดัง
โดยเรานำข้อมูลของนักฟุตบอลทีมชาติไทยของเราที่ไปค้าแข้งกับต่างประเทศและมีราคาค่าตัวที่สูงโดยมีการจัดอันดับเฉพาะรายชื่อของนักฟุตบอลของประเทศไทยที่ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศเท่านั้นว่าอันดับแรกมีใครบ้างดีค่ะตัวค่อนข้างสูงข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ทางเว็บไซต์ transfer market เป็นผู้ประเมินข้อมูลให้เรามาดูกันว่ามีนักฟุตบอลคนไหนบ้างที่ติด 1 ใน 5 นั้น
อันดับแรกคงหนีไม่พ้น นายชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือฉายาเมสซี่เจของเราที่ไปค้าแข้งที่ประเทศญี่ปุ่นกับทีมฟุตบอลของเมืองฮอกไกโดสินค้าตัวไหนตอนนี้มีการประกาศเอาไว้ว่าอยู่ที่ประมาณ แปดสิบห้าล้านบาทไทยเลยทีเดียวซึ่งเป็นราคาค่าตัวที่สูงที่สุดในทีม คอนซาโดเล ซัปโปโร อยู่ในขณะนี้ด้วย
ส่วนคนที่สองนั้นค่าตัวอยู่ที่ประมาณ สามสิบห้า ล้านบาทไทยโดยผู้ที่ได้รับค่าตัวสูงเป็นอันดับสองคือ นายธีรทร บุญมาทัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลที่ไปค้าแข้งที่ประเทศญี่ปุ่นของทีมในเมืองโยโกฮาม่า โดยนายธีรทร บุญมาทันขณะนี้ค้าแข้งอยู่ในทีม เอฟ มารินอส
อันดับที่สามนั้น คือนาย ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งขอเป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่ไปค้าแข้งเจลีกที่ประเทศญี่ปุ่นและมีค่าตัวสูงถึงประมาณ สามสิบสอง ล้านบาทไทยโดยเข้าสังกัดทีมฟุตบอลที่เมืองชิมิสุ ซึ่งธีรศิลป์ แดงดา เป็นนักฟุตบอลทีม เอสพัลส์
อันดับที่ 4 เป็นนักเตะฟุตบอลไทย ของทีมบีจีปทุมยูไนเต็ดซึ่งเป็นทีมของไทยลีกอันดับ 4 นี้ได้แก่ นาย ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ มีค่าตัวอยู่ที่ประมาณ ยี่สิบเอ็ดล้านบาทไทย
และอันดับสุดท้ายอันดับที่ 5 ได้แก่ นายกวิน ธรรมสัจจานันท์ ซึ่งเขาไปค้าแข้งให้กับทีมฟุตบอล คอนซาโดเล ซัปโปโร ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นทีมเดียวกับนายเจชนาธิป โดยเขารับค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านบาทไทย
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยของเรามีศักยภาพสามารถไปแข่งขันฟุตบอลร่วมทีมกับต่างประเทศได้หลายคนยังมีค่าตัวที่สูงมากอีกด้วยซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลราคาค่าตัวในปีพศ. 2563 โดยแต่ละปีก็จะมีการอัพเดทค่าตัวของนักฟุตบอลอยู่ได้เรื่อยๆเพิ่งครั้งต่อไปใครจะเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงมากที่สุดคงต้องรอดูกันอีกครั้งหนึ่งว่าเจชนาธิปยังจะสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่
- 0
ในโลกของวงการฟุตบอลนั้น มีมากมายที่เมื่อเราเห็นนักฟุตบอลหลายคน เมื่อถึงเวลาที่ต้องย้ายทีมไปเล่นสโมสรใหม่นั้น มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว เพราะแต่ละทีม แต่ละฤดูกาลเมื่อถึงเวลาก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายนักเตะเพื่อหมุนเวียนให้มีความสมดุลในระบบการเล่นภายในทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่
แม้ขนาดทีมที่มีนักเตะเก่งๆมากมายอย่างสโมสรเชลซีนั้น ก็ยังต้องมีการขายนักเตะออกไปเพื่อได้เงินมาซื้อนักเตะใหม่เพื่อความสมดุล ซึ่งเรามาลองไล่ดูกันว่านักเตะที่ย้ายออกจากสโมสรเดิมนั้น แล้วไปได้ไกลกว่าปัจจุบันนั้น มีใครกันบ้าง
นาธาน อาเก้ ครั้งหนึ่งที่นักเตะคนนี้กลายเป็นเหมือนส่วนเกินของสโมสรเชลซี ก่อนที่จะเก็บข้าวของย้ายไปเล่นให้ทีมบอร์นมัธ ซึ่งกลายเป็นว่านักเตะคนนี้ได้พิสูจน์ตัวเองว่า เค้าดีพอที่จะเป็นกองหลังระดับตำนานให้กับสโมสรได้ เพราะด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นและแข็งแกร่ง จนถึงขนาดครั้งหนึ่งทางสโมสรเชลซี ต้องเรียกเค้ากลับมารับใช้ในช่วงที่เป็นตัวยืมให้กับสโมสรอื่นด้วยซ้ำ
แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กับครั้งหนึ่งที่ทนทุกข์ทรมานกับสโมสรแห่งนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจอำลำทีมไป เพราะไม่สามารถเบียดตำแหน่งกับ ดิดิเยอร์ ดรอกบ้า ได้ ก่อนที่จะย้ายไปได้ดิบได้ดีกับลิเวอร์พูล ในสมัยที่ยังเป็น S&S คือซัวเรซ กับสเตอร์ริจ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงขาขึ้นของเค้าเลย แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่รบกวนนักเตะคนนี้บ่อย จึงทำให้ฟอร์มไปไม่ถึงขั้นสุดซะที
มาริโอ ปาซาริช นักเตะที่ถูกลืมของเชลซี เพราะตั้งแต่ย้ายมาที่นี่เมื่อปี 2014 เค้าก็ยังไม่เคยได้ลงเล่นชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว เพราะตัวเค้าไม่เคยอยู่ในสายตาของอดีตกุนซือ อย่างโฆเซ่ มูรินโญ่ เลย จนทุกวันนี้ได้ย้ายไปเล่นโลดแล่นอยู่ที่อิตาลี กับทีมอตาลันต้า ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา แถมยังเป็นกำลังสำคัญที่ยกระดับของทีมในช่วง สองสามปีหลังนี้ให้ได้มีโอกาสไปเล่นฟุตบอลยุโรปด้วยซ้ำ
โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าร่างยักษ์ ที่เคยมีฟอร์มตกอับกับเชลซี ก่อนที่จะย้ายไปเป็นพระเอกที่สโมสรเอฟเวอร์ตัน จนกลายเป็นที่หมายปองของสโมสรใหญ่ ๆ ก่อนที่นักเตะคนนี้จะถูกกระชากไปร่วมลงหลุมกลับผีแดง ก่อนที่จะไปเกิดใหม่เป็นงูในปัจจุบัน
ซึ่งหากมองกันจริงๆแล้ว นักเตะที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่ไม่เก่ง แต่อาจจะเพราะเค้าอยู่ผิดที่ผิดเวลา ในช่วงที่สโมสรต่างเล็งเป้าไปกับนักเตะบิ๊กเนม จนลืมไปว่า เพชรในโคลนตมก็ยังมีอยู่
- 0
หลังจากที่ตามหากันจนเจอ กับตำแหน่งที่ลงตัวและเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของทีมแมนยูในฤดูกาลนี้ ที่หลังจากได้ตัวนักเตะคนนี้มา แมนยูของโซลชา เปลี่ยนจากผีที่ลงหลุมไปแล้ว ลุกขึ้นมาหลอกหลอนทีมอื่นกันเป็นว่าเล่น เพราะนักเตะอย่าง
บูรโน่ เฟอร์นันเดส เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นของฟุตบอลแมนยู ให้ดูเป็นทรงฟุตบอลได้ดีขึ้นมาก เพราะด้วยความที่เค้าเป็นนักเตะที่เล่นบอลได้ฉลาดและครบเครื่อง ไม่ว่าจะรุก รับ ทั้งยิง เลี้ยง และจ่ายบอล แต่ที่สำคัญสุดคือ เล่นง่าย ทำให้เพื่อนๆร่วมทีมต่างไม่ต้องเป็นกังวลกับการเล่นของเค้า ผิดกับ พอล ป๊อกบา ที่ต้องบอกว่าเป็นนักเตะอัจฉริยะ แต่ด้วยความที่ค่อนข้างติดแอ๊ก และมักจะเล่นลูกยากๆ ทำให้เพื่อนตามกันไม่ทัน ผลร้ายจึงเกิดขึ้นมากกว่าผลเสีย ซึ่งถึงขนาดนี้ แฟนบอลลืม พอล ป๊อกบา ไปแล้ว และด้วยตำแหน่งที่เล่นเหมือนกัน จึงทำให้แฟนบอลไม่ต้องการนักเตะอย่างพอล ป๊อกบา อีกต่อไป
ถึงขนาดที่โซลชา บอกว่า ฤดูกาลหน้าเค้าขอซื้ออีกสามตำแหน่งเท่านั้น เค้าพร้อมที่จะต่อกรและแย่งแชมป์กับทุกทีม ซึ่งนักเตะตำแหน่งนั้นนั้นมีใครบ้างลองมาดูกัน
ตำแหน่งกองกลาง ที่ทางโซลชา อยากได้มาช่วยทีม เพราะมีข่าวว่า เค้าอาจจะขาย เนมันย่า มาติชทิ้งออกไป และเอามาเป็นอะไหล่เล่นร่วมกันนักเตะที่มีอยุ่แล้ว กับ สก๊อต แมคโทมิเนียร์ และเฟรด ส่วนพอล ป๊อกบา ดูแล้วยังไงก็น่าจะย้ายออกมา นี่จึงเป็นตำแหน่งที่โซลชา ต้องการ
ตำแหน่งตัวริมเส้น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่โซลชาต้องการอย่างมาก เพราะปีกธรรมชาติของแมนยูตอนนี้ มีแค่ ดาเนี่ยม เจมส์ จริง นอกนั้น อย่างมาต้า อาจจะอายุมากเกินไปแล้ว ซึ่งโซลชา นั้นอยากได้ เจดอน ซานโช่ จากดอร์ทมุน มาร่วมทีม ซึ่งทางหากไม่ได้นักเตะคนนี้ อาจจะเป็น โธมัส มุลเลอร์ จากเสือใต้ บาเยิรน์มิวนิก
สุดท้ายตำแหน่งกองหน้า ซึ่งตอนนี้มี มาร์ซิยาล กับ แรชฟอร์ด และดาวรุ่งชั้นดี อย่าง มารอน กรีนวูด ซึ่งคนที่เค้าอยากได้นั้น คือ แฮรี่ เคน ซึ่ง หากได้มาจริงๆ เค้าสามารถโยก มาร์ซิยาล ไปเล่นด้านข้างได้ และถ้าหากได้มาจริงๆ นั้น น่าจะทำให้แมนยู กลายเป็นทีมที่น่ากลัวจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องอยู่ที่บารมี ฝีปากของโซลชา ว่าจะดึงผู้เล่นที่เค้าอยากได้มาร่วมทีมหรือไม่ และที่สำคัญคือเงิน ที่จะจ่ายให้กับต้นสังกัดเดิมของนักเตะคนนั้นได้หรือมา แต่หากได้มาจริงๆ ทั้งสามตำแหน่งนั้น นั่นหมายความว่า แมนซิตี้ และลิเวอร์พูลนั้น มีคู่แข่งสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกทีมในฤดูกาลหน้า
สนับสนุนโดย dewabet
- 0
พรีเมียร์ลีก หรือพรีเมียร์ชิพ ถือว่าเป็นลีกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของการจัดอันดับที่มีผู้ชมเยอะและติดตามมากที่สุดในโลก เพราะลีกของอังกฤษนี้ มีการแข่งขันที่เข้มข้น และแต่ละทีมค่อนข้างสูสีและมีศักยภาพที่ใกล้เคียงกัน
โดยปัจจุบันลีกอังกฤษนั้นมีทั้งหมด 20 ทีม
แข่งขันกันทั้งหมดทีมละ 38 นัด และยังมีแถมฟุตบอลถ้วยในประเทศอีก 2 ถ้วย คือ ถ้วยลีกคัพหรือคาราบาวคัพในปัจจุบัน และอีกถ้วยคือเอฟเอคัพ ซึ่งความสนุกของพรีเมียร์ลีกนี้ ก็เพราะมีทีมที่เป็นยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอล อยู่ถึง 4 ถึง 6 ทีมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือเจ้าของฉายาผีแดง , ทีมลิเวอร์พูล หรือเจ้าของฉายาหงส์แดง, ทีมเชลซี เจ้าของฉายาสิงห์บลู, ทีมอาร์เซนอล เจ้าของฉายาปืนใหญ่ , ทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ หรือเจ้าของฉายาเรือใบสีฟ้า และทีมเสปอร์ เจ้าของฉายาไก่เดือยทอง ซึ่งทั้งหกทีมนี้ต่างสร้างสีสันและความสนุกให้กับฟุตบอลอังกฤษอย่างมากมาย
เพราะทั้งหกทีมนี้ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ทั้งในฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วย อีกทั้งทีมต่างๆที่เหลือก็ยังพร้อมที่จะเป็นทีมที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์การลุ้นแชมป์ของแต่ละทีมให้เปลี่ยนไปได้ โดยในช่วงทศวรรษปี 2000-2010 นั้นดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาความยิ่งใหญ่ของทีมอย่างแมนยูไนเต็ด อาร์เซนอล และเชลซี ซึ่งทั้งสามทีมนี้ผลัดกันขึ้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกันอย่างสุดมันส์ รวมถึงทีมอย่างแมนยูไนเต็ดที่ก้าวไปครองความยิ่งใหญ่ในระดับยุโรปได้
แต่หลังจากสิบปีผ่านไปเข้าสู่ยุคปี 2011 จนถึงปัจจุบันการผ่องถ่ายอำนาจจากเมืองแมนยู ไปสู่เมืองแมนซิตี้ จากสีแดงกลายเป็นสีฟ้านั้น แมนซิตี้ก้าวขึ้นมาครองอำนาจอย่างเต็มตัว โดยมีทีมเชลซี กับลิเวอร์พูล และสเปอร์ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ซึ่งการที่มีทีมหลายๆทีมแย่งชิงความเป็นหนึ่งนั้นจึงทำให้ลีกพรีเมียร์ชิพอย่างอังกฤษ เป็นลีกที่ดูสนุกและลุ้นกันนัดต่อนัด ผิดกับลีกอื่นๆ ที่ผูกขาดกันแค่ สองสามทีม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักบอลเก่งๆ ส่วนใหญ่มีความต้องการและสนใจที่จะมาค้าแข้งอยู่ในบนเกาะอังกฤษนี้
และลีกอังกกฤษนี้ยังเป็นสื่อชั้นดีที่ทำให้นักเตะดังไปทั่วโลก มีผู้คนมากมายที่รอจะรู้จักพวกเค้า หากเพียงแค่คุณเล่นได้เข้าตาเพียงแค่นัดหรือสองนัด ชื่อของคุณจะดังเพียงชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว และนี้คงเป็นมนต์เสน่ห์ของฟุตบอลอังกฤษ ที่ดึงดูดนักเตะจากทั่วโลกให้เข้ามาค้าแข้งและสร้างความสนุกให้กับคนดูที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษกันอยู่ทั่วโลก
สนับสนุนโดย 9luck
- 0
หากจะพูดตำแหน่งกัปตันทีมฟุตบอลนั้น
นั่นคือตำแหน่งที่ทรงเกียรติพาลูกทีมขึ้นรับถ้วยแชมป์และเหรียญรางวัล ส่วนในสนามคุณต้องเป็นผู้นำที่ทำหน้าที่บัญชาเกมและคุมเพื่อนร่วมทีม รวมถึงคอยกระตุ้นปลุกเร้าให้ร่วมกันสู้ แต่หากมองถึงคุณสมบัตินี้หล่ะ ในสมัยนี้ค่อนข้างหายากกับคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งกัปตันทีมนี้จริงๆ บางทีมก็เลือกจากอาวุโส บางทีมก็เลือกจากค่าตัวแพง บางทีมก็เลือกจากความเก่ง
แต่สำหรับทีมอย่างอาร์เซนอล ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอนนั้น นับตั้งแต่มีสุดยอดกัปตันทีมไล่เรียงมาตั้งแต่ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษอย่าง โทนี่ อดัมส์ ไล่มาจนสุดยอดกองกลางอย่าง แพคทริค วิเอร่า และสุดท้ายมาที่ยอดกองหน้าตัวยิงประตูอย่างเธียรี่ อองรีนั้น และหลังจากหมดยุคของทั้งสามคนนี้นั้น ทีมเมืองหลวงจากกรุงลอนดอน อย่างอาร์เซนอลนี้ ก็ไม่เคยมีกัปตันทีมใจเพชรจริงๆที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้เลย เพราะตั้งแต่นั้นมากัปตันแต่ละคนของอาร์เซนอล
ก็เรียกได้ว่าไม่เข้าตาเลยสักคน ไล่มาตั้งแต่ กัปตันกองหลังอย่าง โลล็องค์ ก๊อตซินี่ ซึ่งเรียกว่าเป็นกัปตันทีมกระดูกเปราะที่ลงเล่นไม่กี่นัดเดี๋ยวก็เจ็บ ซึ่งหมายความว่าเค้าเล่นๆ และก็หยุดๆ เพราะมีปัญหาอาการบาดเจ็บนี่เอง
แถมบางนัดลงมาเล่น แต่ฟอร์มก็สามวันดี สี่วันไข้ เดี๋ยวบางนัดก็เก่งขึ้นมา แต่บางนัดฟอร์มก็หลุดซะอย่างนั้น ซึ่งนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เค้าไม่สามารถเป็นกัปตันทีมที่ดีของอาร์เซนอลได้เลย คนต่อมาคือ เมซุต โอซิล คนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะถ้าว่ากันด้วยฝีมือ นักเตะคนนี้ถือว่ามีเซนส์บอลที่สุดยอด แต่ด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นคนขี้เกียจไม่ค่อยวิ่ง และไม่ดุดัน ทำให้เพื่อนๆในสนาม ไม่ค่อยจะยอมรับเค้าในตำแหน่งกัปตันทีมนี้ซะเท่าไหร่
แล้วยิ่งแฟนบอลเห็นความขี้เกียจเค้าขนาดนี้ ยิ่งไม่ค่อยจะปลื้มเลยแม้แต่นิดเดียว คนต่อมาคือ ชานิต ชาก้า จริงๆแล้ว ชาก้านั้น ตอนแรกที่รับตำแหน่งนี้ เหมือนเค้าจะทำได้ดีทีเดียว แต่สุดท้ายแล้วด้วยความที่เค้าเริ่มเล่นบอลแบบติดแอ๊ก คิดว่าตัวเองเก่ง และเริ่มทำให้ทีมเสียกระบวนการเล่น แฟนบอลก็เริ่มจะไม่ชอบใจเค้าเท่าไหร่
และเรื่องที่สำคัญ นัดที่เค้าโดนเปลี่ยนตัวออกครั้งหนึ่งในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ตัวเค้าเองตบะแตก และแสดงความไม่พอใจออกมา ตอนถูกเปลี่ยนตัวและตะโกนใส่แฟนบอลว่า fuck off ซึ่งนั่นหมายความว่าตำแหน่งปลอกแขนกัปตันทีมของเค้ากระเด็นไปพร้อมกับคำพูดนั้นเลยทีเดียว ซึ่งสุดท้ายปลอกแขนกัปตันทีม ปัจจุบันย้ายมาอยู่กับ โอบาเมยอง ซึ่งแฟนบอลก็หวังว่าเค้าจะทำได้ดีเหมือน อองรี ในยุคก่อนนะ
สนับสนุนเรื่องราวเหล่านี้ nowbet
- 0
แมนยูไนเต็ด หรือผีแดง สโมสรยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ชิพ ของเกาะอังกฤษ ทีมที่ไม่มีใครรู้จัก และหลายๆคนที่เล่นฟุตบอลก็ใฝ่ฝันที่จะมีโอกาสเล่นให้กับทีมผีแดงนี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่คุณรู้ไหมว่าเคยมีนักเตะที่ปฎิเสธ แมนยูมาแล้ว อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่พวกเค้าเหล่านั้นไม่มาแมนยู
คนแรก โรนัลดินโญ่ ก็ไม่แปลกที่จะไม่มา เพราะระดับนักเตะอย่างเหยินน้อยก็มีสิทธิที่จะเลือกเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเค้ามีตัวเลือกอย่างเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่า เข้ามาอยู่ในใจด้วยและสุดท้ายเหยินน้อยก็ตัดสินใจไปเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า ปล่อยให้แฟนผีแดงบ่นร้องเสียดายกันไป และยิ่งไปกว่านั้นการเลือกของเหยินน้อย ก็ถือว่าเลือกถูกเพราะเค้านั้นไปได้ดิบได้ดี กับบาร์เซโลน่า และเป็นจอมทัพพาทีมกวาดแชมป์มากมายนับไม่ถ้วน
อลัน เชียร์เรอร์ สุดยอดดาวยิงในยุคนั้น
ที่กองเชียร์ผีแดงอยากได้มากที่สุด เพราะหัวหอกทีมชาติอังกฤษในช่วงนั้นถือว่าเป็นดาวยิงที่สุดยอดที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่กลับกลายเป็นว่า เชียร์เรอร์ ตัดสินใจไปอยู่ กุหลาบไฟ แบล็กเบรินโรเวอร์ ซะงั้น ทั้งๆ ที่สื่อหลายคนเชื่อว่า ยังไงผีแดงก็ไม่พลาดดาวเตะคนนี้แน่นอน ซึ่งเหตุผลที่เชียเรอร์ให้สัมภาษณ์ว่าไม่ไปผีแดงนั้นก็เพราะว่ากุหลาบไฟติดต่อเค้าเข้ามาก่อนนั่นเอง โอ้โห อะไรจะยึดมั่นถือมั่นซะขนาดนั้น เพราะถ้าดาวยิงคนนี้ตัดสินใจมาผีแดง คิดว่าอาชีพนักเตะอย่างเค้าก็มีเหรียญรางวัลชนะเลิศมากมาย และคงมีโอกาสได้ชูถ้วยพรีเมียร์มากกว่าหนึ่งครั้งแน่ๆ
แกเร็ธ เบล ปีกพ่อมดชาวเวลล์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเล่นอยู่กับเซาแธมป์ตัน และย้ายไปอยู่ไก่เดือยทอง ซึ่งผีแดงก็หมายปองที่จะอยากได้เค้าไปร่วมทีม แต่สุดท้ายนักเตะรายนี้ก็ย้ายไป ราชันชุดขาว ซึ่งก็ถือว่าไม่แปลก เพราะราชันยุคนั้น เพียบพร้อมไปด้วยซุปเปอร์สตาร์ที่พร้อมจะช่วยผลักดัน ให้ปีกพ่อมดรายนี้ คว้ารางวัลต่างๆ
มาประดับอาชีพการค้าแข้งของเค้าได้ ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะตั้งแต่เจ้าตัวย้ายไปร่วมทีมมาดริด นักเตะคนนี้ก็คว้ารางวัลมากมาย กวาดแชมป์จนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็ถือว่าเค้าคิดถูกต้องแล้วที่ย้ายไปมาดริด เพราะด้วยเจ้าตัวมักจะมีอาการบาดเจ็บบ่อย หากฝืนเล่นในลีกอังกฤษที่ถือว่าเล่นค่อนข้างหนักกว่าเสปน ป่านนี้เจ้าตัวคงไม่พิการ แต่คงโดนเตะจนน่วมแน่ๆ
และนี่คือนักเตะในตำนานที่เคยปฏิเสธเข้าร่วมโรงละครแห่งความฝันมาแล้ว
ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนจาก rb88
- 0
หากจะถามว่าใครเป็นกองหน้าตัวเป้าที่ดีที่สุดของทัพผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายๆ คนอาจจะมีนักเตะในใจ แต่คนหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงนั่นก็คือ รุด ฟานนิสเตอรอย เพราะเค้าคือหนึ่งในกองหน้าที่เฉียบขาดที่สุดในยุคปี 2000 และกรอบเขตโทษคือพื้นที่ของเค้า โดยรุด ฟานนิสเตอรอย เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นตั้งแต่เด็ก และไม่เคยเล่นตำแหน่งกองหน้ามาก่อนเลย
เพราะตำแหน่งที่เค้าเริ่มเล่นคือกองกลาง จนเค้าเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอย่างจริงจัง กับสโมสรเดนบอสในตอนเค้าอายุสิบเจ็ดปี รุด ฟานนิสเตอรอย ได้ใช้เวลาประมาณสี่ปี ในการฝึกปรือความสามารถกับสโมสรแห่งนี้ จนมีโอกาสได้ย้ายไปเล่นในสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่าง ฮีเรนวีน และที่นี่เอง เค้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีในการลงเล่น จนผลงานและฝีเท้าไปเข้าตาสโมสรยักษ์ใหญ่ อย่างพีเอสวีไอโฮเฟ่น ดึงตัวเค้าไปร่วมทีม
และที่นี่เองที่ทำให้เค้ากลายเป็นดาวยิงที่แท้จริง ด้วยประตูรวมเพียงแค่ฤดูกาลเดียวที่เค้าเริ่มเล่นคือ สามสิบเอ็ดประตู และในฤดูกาลที่สอง ความร้อนแรงยังคงต่อเนื่อง เค้าพาทีมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งที่สาม และได้ไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก และฤดูกาลที่สามเค้าก็พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ด้วยผลงานลงเล่น สามสิบเอ็ดนัด และยิงไปสามสิบเอ็ดประตู นั่นทำให้ชื่อเสียงของเค้าไปเข้าหูของ เซอร์ อเล็กเฟอร์กูสัน จนถึงกับต้องเซ็นต์สัญญากับเค้าในฤดูกาลต่อมา แต่แล้วสัญญานี้ก็ต้องล่มลง เมื่อฟานนิสเตอรอยได้รับบาดเจ็บ ถึงขนาดต้องพักรักษาตัวเป็นปี และนี่เองที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ให้สัญญาใจกับ รุด ฟานนิสเตอรอย ว่าถ้าเค้าหายเจ็บเมื่อไหร่ และกลับมาโชว์ฟอร์มได้เหมือนเดิม เค้าจะกลับมาเซ็นต์สัญญา และคว้าไปร่วมทัพผีแดงอีกครั้ง และนั่นก็คือความจริงที่ เซอร์อเล็กซ์ ได้พูดไว้
เพราะเมื่อรุด ฟานนิสเตอรอย หายเจ็บและกลับมาเล่นได้ดีเหมือนเดิม ยอดผู้จัดการทีมก็ไม่รอช้าคว้าตัวของเค้าไปร่วมทัพจนได้ และรุด ฟานนิสเตอรอย ก็ตอบแทนความไว้วางใจนี้ ด้วยการลงเล่นแค่ฤดูกาลแรก ก็สามารถพาแมนยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกมาครองได้ ด้วยผลงานส่วนตัวอันสุดยอดของเค้าคือลงเล่นทั้งหมด ห้าสิบสองเกม เค้ายิงไปถึงสี่สิบสี่ประตู
และตลอดห้าฤดูกาลที่เค้าร่วมทัพกับปีศาจแดงนั้น รุด ฟานนิสเตอรอย ยิงได้เกินเลขสองหลัก ทุกฤดูกาล ซึ่งถ้าดูฤดูกาลที่เค้ายิงได้น้อยสุดนั้น ก็ยังปาเข้าไปถึงสิบหกประตูเลยทีเดียว แต่ทว่าฉากจบระหว่างเค้ากับผีแดงก็ไม่สวยนัก เพราะดันไปทะเลาะกับเฟอร์กี้ และมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมอย่าง คริสติโน่ โรนัลโด้ ซึ่งสุดท้ายเค้าก็ต้องย้ายออกจากสโมสรนี้ไป